WWF ย้ำต้องหยุดสร้างเขื่อน ก่อนแม่น้ำโขงถูกทำลายทั้งสาย

Posted on enero, 10 2013

 กลองด์ สวิตเซอร์แลนด์ 11 มกราคม 2556 - WWF กล่าวเตือนไปยังที่ประชุมรัฐมนตรีกัมพูชา ลาว ไทย และเวียดนาม ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ที่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ให้นำข้อตกลงร่วมกันที่จะหยุดยั้งการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงกลับมาปฏิบัติอีกครั้ง ไม่เช่นนั้น จะเสี่ยงทำลายการบริหารจัดการแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสายหนึ่งของโลก
รัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมและน้ำเคยตกลงร่วมกันเมื่อปี 2554 ที่จะเลื่อนการตัดสินใจสร้างเขื่อนไซยะบุรี มูลค่า 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 108,000 ล้านบาท เพื่อรอการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากเขื่อนเพิ่มเติม แต่ว่าข้อตกลงนี้กลับไม่ได้รับการใส่ใจ เมื่อประเทศลาวประกาศว่าจะเดินหน้าก่อสร้างเขื่อนที่เป็นประเด็นถกเถียงแห่งนี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

วันที่ 16 – 17 มกราคมนี้ จะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีคณะกรรมาธิการลุ่มแม่น้ำโขง (MRC) ที่เป็นหน่วยงานระหว่างรัฐบาล อันประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างทั้ง 4 ประเทศ ซึ่งจะเป็นการทดสอบความร่วมมือข้ามพรมแดน และชะตากรรมของแม่น้ำโขงซึ่งมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตประชาชน 60 ล้านคน

“การก่อสร้างที่เกี่ยวเนื่องกับเขื่อนไซยะบุรี ส่งผลร้ายต่อความอุดมสมบูรณ์และผลิตผลในแม่น้ำโขงและพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ทั้งยังทำให้ประชาชนหลายล้านคน ต้องเผชิญกับวิกฤตความไม่มั่นคงด้านอาหาร” ดร. เจียน ฮัว เมง ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานน้ำอย่างยั่งยืนของ WWF กล่าว “รัฐมนตรีจะต้องยืนหยัดต่อต้านการทูตแบบไซยะบุรี ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นแบบอย่างที่อันตรายต่อไปในอนาคต”

ในฐานะที่โครงการไซยะบุรีเป็นเขื่อนแห่งแรกที่เข้าสู่กระบวนการหารือของ MRC ดังนั้นจึงเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับการก่อสร้างเขื่อนอีก 10 แห่งบนแม่น้ำโขงตอนล่าง สำหรับกระบวนการของ MRC นั้น กำหนดให้ทุกประเทศเข้าร่วมในการพิจารณาทบทวนโครงการพัฒนาต่างๆบนลำน้ำโขง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้ข้อตกลงร่วมกันว่า ควรจะเดินหน้าโครงการต่อไปหรือไม่ แต่ว่าขณะนี้ลาวกลับเริ่มการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรีโดยไม่ได้รับความเห็นชอบร่วมกันจากเพื่อนบ้าน หรือแจ้งต่อ MRC

เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว MRC ได้ออกเอกสารเชิงหลักการ (concept note) เป็นแนวทางการศึกษาร่วมที่หลายฝ่ายเฝ้ารอ เป้าหมายก็เพื่อเติมเต็มข้อมูลสำคัญที่ขาดหายไป และยังเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน ที่จะรวมไปถึง โครงการก่อสร้างเขื่อนพลังงานน้ำอื่นๆบนลำน้ำโขงด้วย ซึ่งรัฐมนตรีที่ร่วมการประชุม MRC ในปี 2554 เป็นผู้ร้องขอให้มีการ ศึกษาเรื่องนี้

“โครงการพัฒนาเขื่อนบนแม่น้ำโขงตอนล่างในขณะนี้ เป็นโครงการบนพื้นฐานของการเดาสุ่ม เนื่องจากยังไม่มีผลการศึกษารองรับ” ดร.เมง กล่าวเสริม “วิธีสร้างไปแก้ไปที่กำลังเกิดขึ้นกับเขื่อนไซยะบุรี รวมทั้งการหว่านเงินใส่ปัญหาที่จะเพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดูแล้วไม่ได้เป็นวิธีการด้านวิศวกรรมศาสตร์หรือการพัฒนาที่ชาญฉลาดนัก”

ประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริโภคไฟฟ้าที่ผลิตจากเขื่อนไซยะบุรีรายหลัก และมีธนาคารของไทยอย่างน้อย 4 ธนาคาร ที่แสดง ความสนใจให้เงินกู้แก่โครงการ แม้จะมีต้นทุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง และไม่มีความชัดเจนถึงผลตอบแทนทางการเงินที่จะได้รับจากโครงการนี้ก็ตาม

“ประเทศไทยควรกระทำการด้วยความรับผิดชอบ และยกเลิกข้อตกลงซื้อไฟฟ้าล่วงหน้าที่ด่วนทำไป จนกว่าจะมีข้อตกลงเกี่ยว กับเขื่อนร่วมกันในระดับภูมิภาค” ดร. เมงกล่าวเพิ่มเติมว่า “หากธนาคารไทยทำการศึกษาประเมินความเสี่ยงอย่างดี และให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของธนาคารในระดับนานาชาติ รวมถึงผลตอบแทนทางการเงินที่ทางธนาคารจะได้รับ ก็จะพิจารณาและถอนตัวจากโครงการสร้างเขื่อนนี้”

WWF ขอเรียกร้องรัฐมนตรีประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ให้เลื่อนการตัดสินใจเกี่ยวกับเขื่อนออกไปอีก 10 ปี เพื่อให้มั่นใจว่ามีการเก็บรวบรวมข้อมูลสำคัญเสร็จสิ้น จากนั้นจึงค่อยร่วมตัดสินใจบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และการวิเคราะห์ที่น่าเชื่อถือ
“หากยังมีการตัดสินใจดำเนินการนอกกรอบ MRC ต่อไป ในไม่ช้าสถาบันแห่งนี้ก็จะขาดความชอบธรรมทางกฏหมาย และเงิน สนับสนุน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 9,000 ล้านบาทจากผู้บริจาคนานาประเทศก็จะเปล่าประโยชน์” ดร. เมง กล่าวต่อ “ประเทศลุ่มน้ำโขงจำเป็นจะต้องหยุดปล่อยเวลาให้เสียเปล่า และเริ่มกอบกู้กระบวนการ MRC ที่สูญเสียไป รวมทั้งใช้มโนสำนึก และหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถืออีกครั้ง เพื่อให้ได้ข้อตกลงร่วมกันที่จะเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย”
การทบทวนโครงการก่อสร้างเขื่อน ชี้ให้เห็นถึงข้อมูลที่ขาดหายไปอย่างร้ายแรง รวมไปถึงจุดอ่อนของช่องทางผ่านสำหรับปลา ที่นำเสนอในโครงการเขื่อนยักษ์ใหญ่แห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีการยืนยันแล้วว่า โครงการไซยะบุรีจะปิดกั้นการไหลของตะกอน บั่นทอนความสมดุลในระบบนิเวศของแม่น้ำที่เป็นที่พึ่งพาของชาวนา ชาวประมง และหน่วยทางเศรษฐกิจส่วนอื่นๆ
WWF ขอแนะนำให้ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง พิจารณาโครงการเขื่อนพลังงานน้ำแห่งอื่นบนแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงเป็นลำดับแรก ซึ่งจะง่ายต่อการประเมิน และได้รับการพิจารณาแล้วว่ามีผลกระทบและมีความเสี่ยงน้อยกว่ามาก


หมายเหตุ:

ดาวน์โหลดภาพถ่าย : ผู้แทนคณะทูต ผู้บริจาค และองค์กรพัฒนาภาคเอกชน ซึ่งรวมถึง WWF ร่วมหารือกับรัฐบาลลาว ในเดือนกรกฎาคม 2555 เพื่อฟังการนำเสนอเกี่ยวกับโครงการ และเข้าตรวจสอบสถานที่ก่อสร้างเขื่อนที่เมืองไซยะบุรี และภาพจากสถานที่ก่อสร้างเขื่อน สามารถ : เครดิตภาพ: © Marc Goichot / WWF-Greater Mekong
ดาวน์โหลดกราฟฟิกข้อมูล : เขื่อนที่เปิดใช้งานแล้ว และเขื่อนที่อยู่ในแผนการก่อสร้างบนลำน้ำโขง
เครดิตภาพ : © WWF.

เกี่ยวกับ WWF :
WWF คือหนึ่งในองค์กรเพื่อการอนุรักษ์ที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุด และเป็นอิสระมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีผู้ให้การ สนับสนุนมากกว่า 5 ล้านคน และมีเครือข่ายทำงานอยู่ในประเทศต่างๆ กว่า 100 ประเทศ พันธกิจของ WWF คือ ลดการบุกรุก และยั้บยั้งการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพของโลก พร้อมไปกับสร้างอนาคตใหม่ให้มนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน ด้วยการอนุรักษ์ไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพของโลก สร้างหลักประกันให้มีการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ผลักดันให้เกิดการลดมลภาวะและลดการบริโภคอย่างสิ้นเปลือง
ผู้แทนคณะทูต ผู้บริจาค และองค์กรพัฒนาภาคเอกชน ซึ่งรวมถึง WWF ร่วมหารือกับรัฐบาลลาว ในเดือนกรกฎาคม 2555
© Marc Goichot / WWF-Greater Mekong
ผู้แทนคณะทูต ผู้บริจาค และองค์กรพัฒนาภาคเอกชน ซึ่งรวมถึง WWF ร่วมหารือกับรัฐบาลลาว ในเดือนกรกฎาคม 2555
© Marc Goichot / WWF-Greater Mekong
ผู้แทนคณะทูต ผู้บริจาค และองค์กรพัฒนาภาคเอกชน ซึ่งรวมถึง WWF ร่วมหารือกับรัฐบาลลาว ในเดือนกรกฎาคม 2555
© Marc Goichot / WWF-Greater Mekong
ผู้แทนคณะทูต ผู้บริจาค และองค์กรพัฒนาภาคเอกชน ซึ่งรวมถึง WWF ร่วมหารือกับรัฐบาลลาว ในเดือนกรกฎาคม 2555
© Marc Goichot / WWF-Greater Mekong
ผู้แทนคณะทูต ผู้บริจาค และองค์กรพัฒนาภาคเอกชน ซึ่งรวมถึง WWF ร่วมหารือกับรัฐบาลลาว ในเดือนกรกฎาคม 2555
© Marc Goichot / WWF-Greater Mekong
ผู้แทนคณะทูต ผู้บริจาค และองค์กรพัฒนาภาคเอกชน ซึ่งรวมถึง WWF ร่วมหารือกับรัฐบาลลาว ในเดือนกรกฎาคม 2555
© Marc Goichot / WWF-Greater Mekong