วิกฤตอาหารทะเล

Posted on June, 08 2017

หากท้องทะเลว่างเปล่า ท้องของเราจะว่างด้วย
แม้ประเทศไทยมีแนวโน้มการส่งออกอุตสาหกรรมอาหารที่เพิ่มขึ้นทุกปี และยังครองแชมป์การส่งออกเป็นอันดับที่ 1 ของโลกในปี 2558 ที่ผ่านมาโดยสามารถสร้างมูลค่าให้ประเทศได้มากกว่า 897,529 ล้านบาท  แต่สถานการณ์ความมั่นคงทางอาหารกลับสวนทางอย่างรุนแรงกับผลประโยชน์ที่ถูกดึงดูดไปสู่กลุ่มธุรกิจเหล่านี้

โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรสัตว์น้ำที่เกิดจากการทำประมงเกินขนาด และปัญหาความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศน์ชายฝั่งอันสืบเนื่องมาจากการใช้เครื่องมือประมงที่ขาดความรับผิดชอบ ปัจจุบันพบว่ายังมีการใช้อวนลากและอวนรุนที่มีขนาดตาถี่เพียง 10-20 มม. ในอุตสาหกรรมประมงไทย  อวนเหล่านี้จะขูดอยู่กับพื้นทะเลยาวขึ้นไปถึงผิวน้ำและถูกเรือประมงลากไปไกลเพื่อให้ได้ปลามากที่สุดโดยไม่คำนึงว่าจะเกิดความเสียหายทางธรรมชาติมากเพียงใด การลากอวนในลักษณะนี้จะเป็นการกวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกินความจำเป็น เพราะไม่ใช่แค่เพียงการจับสัตว์น้ำเป้าหมายที่ต้องการ แต่ยังกวาดเอาสัตว์น้ำวัยอ่อน สัตว์น้ำมีไข่ และสัตว์น้ำหายากขึ้นไปด้วย พร้อมกันนั้นก็ได้สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศน์หน้าดิน แนวปะการัง และหญ้าทะเล ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย ที่หลบภัย และที่ขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำให้พังทลายไปอย่างน่าเสียดาย  และในขณะเดียวกันการใช้เครื่องมือประมงเหล่านี้ยังได้ไปทําลายอุปกรณ์หาปลาขนาดเล็กของชาวประมงท้องถิ่นที่วางไว้สำหรับดักจับสัตว์ตามร่องน้ำเพื่อหาเลี้ยงชีพอีกด้วย

ผลกระทบจากการทำประมงแบบทำลายล้างนี้จึงนับว่าสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อหลายฝ่ายและไม่อาจประเมินเป็นมูลค่าได้อย่างชัดเจน  เพราะท้องทะเลต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูตัวเองให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ซึ่งในบางพื้นที่ที่ถูกทำลายไปอาจเป็นการสร้างแผลที่บาดลึกให้กับท้องทะเลและยากเกินที่จะเยียวยาความเสียหายนั้นได้ในชั่วอายุคน

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า จากสภาพปัญหาการทำประมงที่เกินขนาดและการใช้เครื่องมือประมงที่ไม่เหมาะสมในปัจจุบันส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณสัตว์น้ำและระบบนิเวศน์ใต้ท้องทะเลอย่างเลี่ยงไม่ได้เลย จากการทำสถิติของกรมประมงในรอบกว่า 50 ปีที่ผ่านมาพบว่าในอดีตเราเคยใช้อวนลากจับสัตว์น้ำได้มากถึง 300 กิโลกรัมในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง  แต่ ณ ปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือและเวลาที่เท่ากันเราจะจับสัตว์น้ำได้เพียง 2-7 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการกวาดล้างทำลายระบบนิเวศน์ใต้ท้องทะเลจากการทำประมงในลักษณะดังกล่าวทำให้สัตว์น้ำขาดแหล่งเพาะพันธุ์และเจริญเติบโต จึงไม่สามารถเพิ่มจำนวนประชากรสัตว์น้ำขึ้นมาทดแทนได้ทันตามความต้องการของผู้บริโภค

โดยมีการคาดการณ์กันไว้ว่าภายในปี ค.ศ.2048 หากปัญหาการทำประมงที่ไม่ยั่งยืนยังไม่ถูกแก้ไขอย่างจริงจัง  อาจส่งผลให้ท้องทะเลไม่สามารถฟื้นฟูประชากรสัตว์น้ำกลับมาให้เราได้บริโภคอย่างเพียงพอ สัตว์ทะเลและปลาหลายชนิดจะสูญพันธุ์ไป  และในท้ายที่สุดเราอาจต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารทะเลทั่วโลก  มหันตภัยที่เกิดขึ้นกลางท้องทะเลนี้คือราคาที่เราต้องหันกลับมาถามตัวเองว่า เราจะ ‘ยอมจ่าย’ เพื่อป้องกันและแก้ไขมันหรือไม่  และเราจะจ่ายด้วยอะไร

WWF-ประเทศไทยได้ตระหนักถึงปัญหาอันเร่งด่วนดังกล่าวซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่ยังสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อระบบนิเวศน์ใต้ท้องทะเล เราจึงเริ่มผลักดันให้เกิดการปรับปรุงการทำประมงรวมทั้งการจัดการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืนขึ้นในประเทศไทย โดยความร่วมมือกับ 8 สมาคมประมง ในนามของ Thai Sustainable Fisheries Roundtable (TSFR) ภายใต้มาตรฐานการทำประมงของสำนักงานคณะกรรมการรับรองมาตรฐานสินค้าประมง (MSC – Marine Stewardship Council) และสำนักงานคณะกรรมการรับรองมาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ASC – Aquaculture Stewardship Council) เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายได้ปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว  โดยทุกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจะต้องได้มาด้วยวิธีที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม  มีความโปร่งใสในระบบห่วงโซ่อุปทาน สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาย้อนกลับได้ (traceable) และเคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชนโดยการปฏิบัติต่อแรงงานในระบบอย่างเป็นธรรม

ในฐานะผู้บริโภคแล้ว ปัญหาการทำประมงที่ไม่ยั่งยืนและความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศน์ในทะเล อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้  แต่ในทางกลับกัน ผู้บริโภคนั่นเองคือหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ เพราะผู้บริโภคที่ตระหนักในเรื่องจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมจะสามารถสร้างให้เกิดกระแส ‘การบริโภคอย่างยั่งยืน’ ที่จะกลายมาเป็นแรงผลักดันให้ภาคธุรกิจปรับตัวเพื่อตอบสนองด้านการผลิตที่ยั่งยืนและการเคารพต่อกฏข้อบังคับต่างๆอย่างเข้มงวดมากขึ้น ทัศนคติของผู้บริโภคจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุกความสนใจของภาคธุรกิจให้หันมาตื่นตัวเรื่องความยั่งยืนของทรัพยากรในประเทศ ไม่ควรหันหลังให้กับความจริงที่ว่าทรัพยากรเหล่านั้นอาจหมดไปในสักวัน
 
ความหมายเพิ่มเติมของ ‘การบริโภคอย่างยั่งยืน’ นอกเหนือไปจากการทำเพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของทุกฝ่ายแล้ว คือการบริโภคที่ตอบสนองต่อความต้องการของคนรุ่นปัจจุบันโดยไม่มีผลกระทบทางลบต่อความต้องการของคนรุ่นต่อไปในอนาคต  ดังนั้น หากทุกคนหันมาใส่ใจกับการเลือกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีกระบวนการจับสัตว์น้ำด้วยวิธียั่งยืนและเป็นธรรม  เราอาจยังมีโอกาสที่จะเห็นทะเลไทยกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง เพื่อให้ท้องทะเลของเรามีอาหารส่งต่อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน  อนาคตของท้องทะเลไทยและอนาคตของอาหารทะเลที่เราชื่นชอบขึ้นอยู่กับการ ‘ยอมจ่าย’ ด้วยเวลาในการศึกษาแหล่งที่มาของอาหารในแต่ละมื้อ เวลาที่เราจะเลือกซื้อและถามหาผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนจากผู้จำหน่าย  เวลาที่เราจะบอกต่อไปยังครอบครัว เพื่อนฝูง และเครือข่ายต่างๆให้ยอมรับในแนวทาง ‘การบริโภคอย่างยั่งยืน’ และปฏิเสธการบริโภคที่เอาเปรียบธรรมชาติ  เราจะ ‘ยอมจ่าย’ ด้วยสิ่งเหล่านี้หรือไม่

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องช่วยกันดูแลท้องทะเลให้ดีเสมือนดูแลร่างกายของเราเอง  เพราะเมื่อท้องทะเลอิ่มเต็มไปด้วยสัตว์น้ำนานาชนิด.. ท้องเราก็อิ่มไปด้วย
A fisherman casts his fishing net on the coast at sunset Gabon
© Martin Harvey / WWF
WWF-Peru is working with the local fishing community to introduce circular hooks with long line fishing. In doing so it is hoped that the by-catch of turtles and other marine life will be reduced. Where turtles have been caught using circualr hooks there is an 80 per cent success rate in freeing them.
© Brent Stirton / Getty Images / WWF-UK
The fisherman use a traditional form of fishing gear - spear and nets. Trevally and emperor fish make up the majority of the catch. Before the MPA's were set up the villagers didn’t have enough fish so they had to buy meat from outside e.g. goat, cows, sheep and pig were bought for food. Now villagers find more fish in the same area, within 2 hours they can catch eight baskets and don't even have to buy any other meat. The fish from the MPAs (which is sold to generate income) is enough to make a living and meet obligations to Vanua, Church and family. This was a WWF Project that started together with mangrove protection areas in the same area. The MPAs have been in place since 2000.
© Brent Stirton / Getty Images / WWF-UK
Taytay fish landing with an assortment of pelagic fish. Taytay, Palawan, Philippines. 1 May 2009
© Brent Stirton / Getty Images / WWF-UK