Posted on December, 18 2009
ปัจจุบันเสือโคร่งสัตว์ผู้ล่าที่อยู่ในตำแหน่งสุดยอดของปิรามิดอาหารในระบบนิเวศธรรมชาติ กำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ถึงขั้นใกล้สูญพันธุ์ สหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ หรือ IUCN เคยประเมินจำนวนเสือโคร่งในช่วงปลายศตวรรณที่ 19 ว่ามีประชากรประมาณ 100,000 ตัว แต่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียงแค่ 3,402-5,140 ตัว สำหรับประเทศไทยมีการประเมินว่ามีจำนวนเสือโคร่งไม่เกิน 250 ตัว (IUCN: http://www.iucnredlist.org/details/15955/0/full)
จากการลดจำนวนลงอย่างมากของเสือโคร่ง และการสูญพันธุ์ของชนิดพันธุ์ย่อยของเสือโคร่งทำให้เกิดการอนุรักษ์เสือโคร่งขึ้นในหลายพื้นที่ และ IUCN ยังได้กำหนดสถานภาพของความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่า (The IUCN Red List of Threatened Animals) ของเสือโคร่งไว้ในสถานภาพสัตว์ป่าชนิดพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์จากพื้นที่ธรรมชาติในอนาคตอันใกล้นี้ (Endangered) รวมถึงอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora: CITES) กำหนดให้เสือโคร่งอยู่ในบัญชีที่ 1 คือ ชนิดพันธุ์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ห้ามทำการค้าโดยเด็ดขาด เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการอนุรักษ์ครอบคลุมทุกพื้นที่
ประเทศไทยหนึ่งในถิ่นที่อยู่อาศัยสำคัญของเสือโคร่ง ก็ประสบกับปัญหาการลดจำนวนลงของเสือโคร่งอย่างมาก ปัญหาสำคัญมาจากการทำลายหรือเปลี่ยนแปลงถิ่นที่อยู่อาศัย (พื้นที่ป่า) การล่าเพื่อการค้าและการล่าสัตว์ที่เป็นเหยื่อของเสือโคร่ง ในหลายพื้นที่จึงได้มีโครงการศึกษาเพื่อการอนุรักษ์เสือโคร่งขึ้น เพื่อหาแนวทางป้องกันและการอนุรักษ์ที่ถูกต้อง โครงการวิจัยทางด้านนิเวศวิทยาเพื่อการอนุรักษ์เสือโคร่ง ในอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จึงได้เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างอุทยานแห่งชาติกุยบุรี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ WWF ประเทศไทย เพื่อสำรวจประชากรเสือโคร่งและสัตว์ที่เป็นเหยื่อ และนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนการจัดการเพื่อฟื้นฟูประชากรเสือโคร่งในพื้นที่แห่งนี้ต่อไป
โครงการนี้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2549 (และยังคงดำเนินการอยู่) จากรายงานการสำรวจพบว่าอุทยานแห่งชาติกุยบุรีมีเสือโคร่ง 10 ตัว ซึ่ง 3 ใน 10 นั้นเป็นลูกเสือโคร่ง และเสือโคร่งจะกระจุกตัวอยู่ในตอนกลางของอุทยาน เนื่องจากมีสัตว์ที่เป็นเหยื่อ (กระทิง กวาง หมูป่าและเก้ง) ชุกชุมที่สุด
ปัญหาสำคัญในการอนุรักษ์เสือโคร่งในอุทยานฯ กุยบุรี คือ การลดลงของสัตว์ที่เป็นเหยื่อของเสือโคร่ง ซึ่งเป็นผลมาจากในอดีตที่มีการล่าสัตว์ป่ามาก และการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่า ข้อมูลที่ได้จากการดำเนินโครงการฯ ในช่วงแรกดังที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นประโยชน์อย่างมากในการนำมาหาแนวทางการจัดการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ WWF ประเทศไทย เจ้าหน้าที่อุทยาน และชาวบ้านได้ร่วมมือกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และป้องกันปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
โดยทางโครงการฯ ได้ให้ความรู้และข้อมูลข่าวสารกับเจ้าหน้าที่อุทยาน และชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง เพื่อให้เกิดความเข้าใจและตระหนักในความสำคัญของการอนุรักษ์เสือโคร่งและพื้นที่อุทยาน และให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการลาดตระเวนในพื้นที่อุทยานของเจ้าหน้าที่ และชาวบ้านช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องการลักลอบล่าสัตว์ เปิดโอกาสให้เยาวชนเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาพื้นที่อุทยาน เช่น การทำโป่งเทียม เป็นต้น เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในการทำงานอนุรักษ์นั้น คงจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ถ้ามีเพียงแค่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย
ปัจจุบันถึงแม้ว่าการแก้ไขปัญหาได้ดำเนินการ และประสบผลสำเร็จไปบ้างแล้ว เห็นได้จากหลักฐานภาพถ่ายลูกเสือโคร่ง 3 ตัวในอุทยานฯ กุยบุรี ทำให้ทราบว่าสัตว์ที่เป็นเหยื่อมีเพียงพอให้แม่เสือสามารถเลี้ยงลูกเสือทั้ง 3 ตัวได้ และจากปัจจัยสภาพพื้นที่อุทยาน ที่ยังสามารถรองรับประชากรเสือโคร่งได้อีก ดังนั้นโครงการยังคงดำเนินต่อไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ ประชากรเสือโคร่งในอุทยานแห่งชาติกุยบุรีเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ภายในปี 2556