ชนิดพันธุ์สัตว์เท้ากีบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใกล้สูญพันธุ์

Posted on September, 12 2013

ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มีสัตว์ป่าที่สูงส่งและลึกลับ คือ สัตว์เท้ากีบ ซึ่งมีหลายชนิดพันธุ์ที่อาศัยอยู่เฉพาะ ในภูมิภาคนี้ แต่พวกมันใกล้ที่จะสาปสูญไปเต็มที หากรัฐบาลในภูมิภาคไม่ส่งเสริมการปกป้องและเพิ่มความพยายามในการฟื้นจำนวนรวมทั้งถิ่นอาศัยของพวกมัน นี่คือข้อเสนอในรายงานฉบับใหม่ของ WWF “Rumble in the Jungle”
ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มีสัตว์ป่าที่สูงส่งและลึกลับ คือ สัตว์เท้ากีบ ซึ่งมีหลายชนิดพันธุ์ที่อาศัยอยู่เฉพาะ ในภูมิภาคนี้ แต่พวกมันใกล้ที่จะสาปสูญไปเต็มที หากรัฐบาลในภูมิภาคไม่ส่งเสริมการปกป้องและเพิ่มความพยายามในการฟื้นจำนวนรวมทั้งถิ่นอาศัยของพวกมัน นี่คือข้อเสนอในรายงานฉบับใหม่ของ WWF “Rumble in the Jungle”

สัตว์เท้ากีบ 13 ชนิดที่อยู่ในความสนใจ และมีประวัติอยู่ในรายงานฉบับนี้ มีความแตกต่างทั้งด้านชนิดพันธุ์และสถานะ จากกวางที่ตัวเท่าสุนัข ไปจนถึงวัวป่าที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรม จากชนิดพันธุ์กวางมีเขาขนาดใหญ่ ไปจนถึงสัตว์ที่แทบไม่มีใครเคยเห็นจนขึ้นชื่อว่าลึกลับ แต่สิ่งที่ทราบแน่ชัด คืออนาคตของพวกมันต่างไม่แน่นอนและบางชนิดพันธุ์ก็หมดหวังกับอนาคตแล้ว
สัตว์เท้ากีบสองชนิดพันธุ์ที่เป็นสัตว์ประจำถิ่นในแถบลุ่มน้ำโขง กูปรีและสมัน สูญพันธุ์ไปจากโลกในช่วงศตวรรษที่ 20 ขณะที่เนื้อทรายและสาวหล่า ก็กำลังจะสูญพันธุ์ไปจากภูมิภาคนี้ และยังมีอีกหลายสายพันธุ์ที่กำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกัน ในประเทศต่างๆที่พวกมันอาศัยอยู่ ซึ่งรวมทั้งละอง ละมั่ง และวัวแดง

“ความหลากหลายของถิ่นอาศัยที่น่าทึ่งในภูมิภาคแม่น้ำโขง เป็นแหล่งกำเนิดของสัตว์เท้ากีบที่หลากหลายบนโลกใบนี้ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีการค้นพบสัตว์ชนิดพันธุ์ใหม่ 4 ชนิดพันธุ์ ซึ่งไม่มีใครเทียบได้” ดร.โธมัส เกรย์ ผู้จัดการโครงการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์ WWF-ลุ่มน้ำโขง กล่าว “แม้ว่าแรงกดดันจากมนุษย์ ทั้งการไล่ล่า และการทำลายแหล่งอาศัย เป็นตัวการที่ทำให้ประชากรสัตว์ที่น่าทึ่งเหล่านี้ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังพอมีเวลาที่จะรักษาพวกมันไว้ หากรัฐบาลของประเทศต่างๆ นำเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและการปกป้องรักษาชนิดพันธุ์เหล่านี้ เป็นสิ่งสำคัญในการจัดทำนโยบาย”

มีสัตว์เท้ากีบเลี้ยงลูกด้วยนมชนิดพันธุ์หนึ่งในภูมิภาคที่เป็นที่รู้จักน้อยมาก นั่นคือ สาวหล่า ซึ่งมีการค้นพบเมื่อปี 2535 ได้รับการ ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในการค้นพบทางสัตววิทยาที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในศตวรรษที่ 20 และจนถึงขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เคย สังเกตการณ์สาวหล่าในป่าธรรมชาติ และการค้นหาตัวสัตว์ที่ลึกลับสายพันธุ์นี้ ยังคงเป็นเรื่องยาก ทำให้ไม่สามารถประเมิน จำนวนประชากรที่ชัดเจนได้ แต่คาดว่าอาจอยู่ที่ประมาณหลักสิบถึงไม่กี่ร้อยตัว

“ขณะที่การพัฒนากำลังล้อมกรอบถิ่นอาศัยของสาวหล่า แต่ภัยคุกคามที่แท้จริงมาจากการลักลอบล่า สาวหล่าติดกับดักลวดที่พรานป่าวางไว้เพื่อดักสัตว์อื่น” ดร.เกรย์ กล่าวเสริม “ในประเทศเวียดนาม มีวิธีการบังคับใช้กฏหมายวิธีใหม่ที่ได้รับการ สนับสนุนโดยโครงการคาร์บอนและความหลากหลายทางชีวภาพของ WWF ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดี ด้วยการเกณฑ์คนท้องถิ่นมาเป็นผู้พิทักษ์ป่า คอยเดินลาดตระเวนเพื่อรักษาป่า และปลดกับดัก ซึ่งกำจัดไปได้มากกว่า 14,000 อันต่อปี”

เก้งปูเตาหรือเก้งใบไม้ สัตว์ตระกูลกวางที่เล็กที่สุดเป็นอันดับสองของโลก ได้รับชื่อนี้เพราะเพียงใบไม้ใหญ่ๆ ใบเดียว ก็สามารถ ห่อตัวได้มิด พบครั้งแรกในปี 2542 ที่ประเทศพม่า การจะพบตัวมันถือเป็นเรื่องยาก กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ ก็ยังไม่สามารถ ประเมินการกระจายตัวและสถานะของมันได้ ขณะที่กวางป่า ซึ่งเป็นหนึ่งในกวางที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์เท้ากีบในโลก มีก็แต่กวางมูสและกวางเอลก์ ที่เป็นสายพันธุ์เท้ากีบที่ยังมีชีวิตและมีขนาดใหญ่กว่าพวกมัน ตอนนี้จำนวนกวางป่าลดลงอย่างมากทั่วภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เนื่องจากการล่า

วัวแดง ถือเป็นหนึ่งในวัวป่าที่สวยและสง่างามที่สุดในตระกูลวัวป่า มีจำนวนประชากรลดลงถึงร้อยละ 80 นับตั้งแต่ช่วงปลาย ทศวรรษ 2503 เขตที่ราบทางภาคตะวันออกของกัมพูชา ซึ่งเป็นป่าแล้งเขตร้อนผืนใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นถิ่น อาศัยของประชากรวัวแดงจำนวนมากที่สุดในโลก ตัวเลขระหว่าง 2,700 - 5,700 ตัว แต่การลักลอบล่าวัวแดง และการขายเขาวัวข้ามชาติ นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จำนวนสัตว์สายพันธุ์นี้ลดลง
“วัวป่าและกวางใหญ่ทั่วเอเชีย เป็นเหยื่อพันธุ์หลักของเสือ” ดร. เกรย์ กล่าว “การอนุรักษ์สัตว์กีบในภูมิภาค จึงมีความเชื่อมโยง อย่างอธิบายไม่ได้ถึงชะตากรรมของเสือในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2531 จำนวนของพวกมันลดลงจาก 1,200 ตัว เหลือ เพียง 350 ตัว การลดลงของสัตว์ที่เป็นเหยื่อนับเป็นปัญหาหนักสำหรับประชากรเสือที่เหลืออยู่ เพราะพวกมันต้องกินสัตว์เหล่านี้”

สัตว์เท้ากีบในภูมิภาคยังเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญสำหรับแร้งในภูมิภาคนี้ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นพญาแร้ง อีแร้งสีน้ำตาล และแร้งเทาหลังขาว ที่ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วในอนุทวีปอินเดีย เนื่องจากยาพิษ และจากยาไดโคฟิแนคที่ใช้ ในสัตว์ จำนวนประชากรแร้งที่เหลืออยู่ในพม่าและที่ราบตะวันออกกัมพูชา เป็นประชากรที่เป็นความหวังที่ดีที่สุดในการอยู่รอดของสัตว์สายพันธุ์สัญลักษณ์นี้

“สถานะของสัตว์สายพันธุ์กวางและวัว เป็นหนึ่งในสิ่งบ่งชี้ถึงสุขภาวะ ความหลากหลายและความสามารถในการกลับคืนสู่ สภาพเดิมของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงทั้งภูมิภาค” ดร.เกรย์ สรุป “ความเป็นอยู่ที่ดี และการฟื้นตัว ของประชากรสัตว์สายพันธุ์ที่กล่าวมานี้ เป็นส่วนสำคัญในการบริหารจัดการในภูมิภาคอย่างยั่งยืน ผู้นำในภูมิภาคต่างให้การยอมรับ ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่งนั้น จะต้องดำเนินควบคู่ไปกับความอุดมสมบูรณ์ และประโยชน์ทาง ธรรมชาติและสัตว์ป่า แต่ตอนนี้จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนและมีประสิทธิภาพ”

WWF ทำงานร่วมกับรัฐบาลและพันธมิตรกลุ่มต่างๆ เพื่อฟื้นฟูและพลิกฟื้นจำนวนประชากรสัตว์เท้ากีบในป่า ที่ครั้งหนึ่งเคยมี พวกมันอาศัยอยู่มากมาย และให้พวกมันได้กลับคืนสู่ถิ่นอาศัยตามธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจำนวนประชากรจะเพิ่มสูงขึ้น ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามนี้ WWF ให้การสนับสนุนการยกระดับการปกป้องเขตอนุรักษ์ การบริหารจัดการและการบังคับใช้กฏหมาย การทำป่าไม้อย่างยั่งยืน การเพิ่มทางเลือกเพื่อใช้ประโยชน์จากป่า และการทำมาหากินอย่างยั่งยืนที่จะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันที่มีต่อประชากรสัตว์เท้ากีบที่โดดเด่นที่ยังคงเหลืออยู่ในภูมิภาคนี้